ในอดีตการจะท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น หรือประเทศต่างๆโดยใช้อินเตอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือค่อนข้างจะยุ่งยาก และดูลำบากพอสมควร เพราะหากอยากได้ซิมต่างประเทศพร้อมแพคเกจอินเตอร์เน็ตแบบคุ้มๆ จะต้องซื้อซิมโทรศัพท์ใหม่เพื่อนำซิมการ์ดมาใส่ในเครื่อง หรือใช้บริการเปิดโรมมิ่งพร้อมซื้อแพคเกจอินเตอร์เน็ตที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และถูกจำกัดปริมาณข้อมูล แถมกว่าจะเชื่อมต่อได้ต้องกดเปิด-ปิดโทรศัพท์จนดูยุ่งยาก
แต่ปัญหาความไม่สะดวกทั้งหลายเหล่านี้จะหมดไป เพราะในปัจจุบันโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ ต่างก็มีฟังก์ชั่นที่ชื่อว่า “eSIM” ซ่อนเอาไว้อยู่ มาดูกันดีกว่าครับว่าเจ้า “eSIM” นี้ จะช่วยให้การท่องเที่ยวของเราสะดวกสบายขึ้นได้อย่างไรบ้าง
eSIM คืออะไร?

eSIM คือซิมการ์ดขนาดเล็กประมาณ 5 ตารางมิลลิเมตรที่ถูกฝังอยู่ภายในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตในโรงงาน เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งาน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ SIM Card จริงสอดเข้าถาดใส่ของโทรศัพท์
eSIM จะสามารถเชื่อมต่อข้อมูลจากผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สาย และเปิดใช้บริการสัญญาณอินเทอร์เน็ตได้ผ่านการตั้งค่าในโทรศัพท์มือถือของเรา การทำงานจะเหมือนกับ Nano SIM หรือ SIM Card โทรศัพท์ที่ใช้งานกันตั้งแต่สมัยอดีต เพียงแต่ลดความยุ่งยากในการถอดและใส่อุปกรณ์
โทรศัพท์ 1 เครื่อง สามารถรองรับการบันทึกค่า eSIM ได้สูงสุดถึง 8 เลขหมาย ปัจจุบันระบบนี้รองรับได้ทั้งโทรศัพท์ค่าย Apple (ตั้งแต่รุ่น 13 ขึ้นไป) และ Andriod ในหลายค่าย ด้วยเทคโนโลยีที่ฝังอยู่ในโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆนี้ ทำให้เราสามารถเปิดใช้งาน 2 ซิมในเวลาเดียวกันได้ (1 ซิมปกติ และ 1 eSIM) หรือ (2 eSIM)
วิธีตรวจสอบว่าโทรศัพท์รองรับ eSIM
สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงกด *#60# บนโทรศัพท์ หากโทรศัพท์แสดงเลข “EID” พร้อมรูปบาร์โค้ดดังตัวอย่างหมายถึงโทรศัพท์รองรับ eSIM

จะหาซื้อ eSIM เพื่อใช้งานอินเตอร์เน็ตของประเทศญี่ปุ่นได้ที่ไหน?
สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น ผมเลือกใช้ eSIM จาก KDDI ซึ่งข้อดีของการใช้อินเตอร์เน็ตบริษัทนี้คือสามารถใช้งานอินเตอร์เน็ต 5G แบบไม่จำกัดปริมาณและความเร็ว พร้อมทั้งยังรองรับใช้งานผ่าน Application ผู้ช่วย AI อัจฉริยะอย่าง ChatGPT โทรศัพท์จะเลือกค่ายโทรศัพท์ให้เราแบบอัตโนมัติตามพื้นที่ต่างๆที่เราไปภายใต้ความเร็วสูงสุด ทำให้เรามีอินเตอร์เน็ตใช้งานได้ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่นแบบไม่ต้องกังวล
ข้อมูลแพคเกจและราคา eSIM: https://www.kkday.com/th/product/243815?cid=19442&ud1=eSIMKDDI

ยิ่งไปกว่านั้นเรายังสามารถแชร์ฮอตสปอต (Hotspot) จากโทรศัพท์เราเชื่อมเข้าอุปกรณ์ไอทีต่างๆได้อีกโดยที่ไม่โดนจำกัดความเร็วอีกด้วย*
*หมายเหตุ : การแชร์ฮอตสปอตสำหรับอุปกรณ์ต่างๆ มีรายละเอียดดังนี้
| ประเภท eSIM | ประมาณอินเตอร์เน็ตสูงสุดสำหรับการแชร์ Hotspot |
| 4 วัน | 3GB |
| 7 วัน | 6GB |
| 10 วัน | 9GB |
| 15 วัน | 15GB |
| 31 วัน | 30GB |
วิธีตั้งค่า eSIM ก่อนเดินทาง
หลังจากที่สั่งซื้อ eSIM ผ่านทาง KKDAY แล้วเราจะได้รับ QR Code มา

แนะนำให้เปิดรูปภาพ QR Code ที่จะลงทะเบียนผ่านคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ไอทีอื่นๆ เช่น โทรศัพท์มือถืออีกเครื่อง หรือแท็ปเล็ต อย่าลืมตั้งค่าโทรศัพท์ที่จะลงทะเบียนให้เชื่อมต่อ Wi-Fi จากนั้นกดเข้าฟังก์ชั่น ‘”Add eSIM”

กดเลือก Use QR Code จากนั้นใช้กล้องโทรศัพท์แสกน QR code เพื่อลงทะเบียน แล้วกดรายละเอียดตามขั้นตอน



eSIM ที่เพิ่มขึ้นมาจะมาต่อท้ายจาก SIM Card ที่เป็นเบอร์ใช้งานปกติ

จากนั้นให้เลือกตั้งค่าฟังก์ชั่นต่างๆ ว่าจะใช้ซิมไหนเป็นตัวหลักสำหรับหัวข้อต่างๆ ทั้งสายเรียกเข้าหลัก (Default Line) การใช้ iMessage & FaceTime และ การใช้งานอินเตอร์เน็ต (Cellular Data)



ทั้งนี้หากลงทะเบียนซิมในประเทศไทยระบบอาจจะขึ้นว่า ‘การเปิดใช้งานล้มเหลว’ ได้ แต่ไม่ต้องกังวลใจ ทันทีที่เดินทางถึงประเทศญี่ปุ่นและเปิดใช้งานระบบจะเชื่อมต่อเครือข่ายให้อัตโนมัติ หากมีซิมอื่นๆสามารถเพิ่มเติมได้อีก แนะนำให้เปลี่ยนชื่อป้องกันความสับสน และตั้งค่า “ปิด” การใช้งานไว้จนกว่าจะถึงวันที่ตั้งใจเปิดใช้

ระยะเวลาการใช้งานจะถูกคำนวณเมื่อเราเปิดใช้งาน eSIM หลังจากมาถึงญี่ปุ่นแล้ว วันแรกคือตั้งแต่เปิดใช้งานจนถึง 24:00 น. ตามเวลาญี่ปุ่น
นอกจากนี้หากกดเข้ามาดูรายละเอียด เรายังสามารถตั้งค่า Wifi-Calling ได้ ทำให้สามารถโทรออกหรือรับสายเบอร์โทรเข้าจากเมืองไทยได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ไปเที่ยวญี่ปุ่นจะตั้งค่าการใช้งาน eSIM ได้อย่างไร?

ทันทีที่เครื่องบินลงจอด สามารถเปิดโทรศัพท์ขึ้นมา ค้นหา eSIM และกดเปิดใช้งานซิมที่ลงทะเบียนไว้ได้เลย!


มีอินเตอร์เน็ตคุณภาพดีจาก KDDI ไว้ใช้งานในประเทศญี่ปุ่นแล้ว ต่อไปก็เตรียมตัวเดินไปด่านตม. รอรับกระเป๋าได้อย่างสบายใจ ถ้าทุกอย่างพร้อมแล้วก็ลุยไปกันเลยครับ 🙂

