สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมารีวิวประสบการณ์การขึ้นเครื่องบินของสายการบินที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีกับ “การบินไทย (Thai Airways)” หรือสายการบินประจำชาติไทยนั่นเอง
การบินไทยเป็นหนึ่งในกลุ่มพันธมิตรสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Star Alliance ได้รับการจัดอันดับโดย SKYTRAX ในปี 2017 ให้ติด 1 ใน 20 สายการบินที่ดีที่สุดในโลกอันดับที่ 11 และได้รับการโหวตให้เป็นสายการบินชั้นประหยัดยอดเยี่ยมที่สุดในโลก (Best Economy Class) ในปีเดียวกัน
การเดินทางไปญี่ปุ่นของผมรอบนี้ใช้บริการเที่ยวบิน TG640 ออกเดินทางเวลา 22.10 – 6.20 น. ของวันถัดไป เส้นทางกรุงเทพ (BKK) -โตเกียวนาริตะ (NRT) ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง สาเหตุที่เลือกเดินทางเป็นไฟลต์นี้ เนื่องจากเป็นเที่ยวบินตรง ตารางเวลาค่อนข้างดี เริ่มบินช่วงเวลากลางคืน ทำให้มีเวลาพักผ่อน สามารถประหยัดค่าที่พักที่ญี่ปุ่นได้ 1 วัน และมีเวลาท่องเที่ยวในวันถัดไปตั้งแต่ตอนเช้าตรู่
เริ่มต้นการเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิครับ
เคาน์เตอร์เช็คอินไฟลต์ต่างประเทศให้เช็คอินที่เคาน์เตอร์ H หรือ J ประมาณช่วงกลางของสนามบิน
มาเช็คอินกันเลยดีกว่า…

เมื่อถึงเคาน์เตอร์แล้วให้ยื่นใบยืนยันการซื้อตั๋วพร้อมกับพาสปอร์ตให้กับพนักงาน วางกระเป๋าใบที่ต้องการโหลดเข้าใต้ท้องเครื่องลงบนเครื่องชั่งน้ำหนัก (ที่เคาน์เตอร์มีแท็กสำหรับคล้องกระเป๋าหิ้วขึ้นเครื่อง แจกให้ฟรีด้วย) ผู้โดยสารชั้นประหยัด 1 คน สามารถโหลดกระเป๋ารวมกันได้ทั้งหมด 5 ใบ โดยน้ำหนักทั้งหมดจะต้องรวมกันไม่เกิน 30 กิโลกรัม
ตอนนี้พร้อมออกเดินทางแล้วครับ 😀😀😀
<ก่อนจะเดินทางไปที่เกทผมแวะพักผ่อนที่ King Power Space Lounge หากใครสนใจสามารถติดตามอ่านได้นะครับ>
เกทขึ้นเครื่องของไฟลต์ TG640 อยู่ที่ Concourse C Gate C1A ซึ่งไม่ใช่ทางเดินงวงช้าง ต้องนั่งรถบัสต่อเพื่อขึ้นเครื่องบินครับ

TG640 เที่ยวบินนี้ ใช้เครื่องบินของบริษัท Boeing รุ่น 777-300ER (Extended range) เป็นเครื่องบินโดยสารแบบสองเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก ใช้เครื่องยนต์ของบริษัท General Electric รุ่น 90-115B (GE90-115B) ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบแฟนรุ่นใหม่ที่มีขนาดใหญ่ ให้แรงขับดันมากถึง 115,300 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว การบินไทยได้รับการส่งมอบเครื่องบินรุ่นนี้ครั้งล่าสุดเมื่อปี พ.ศ.2556 ที่ผ่านมา


เครื่องบิน Boeing 777-300ER สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ทั้งหมด 348 ที่นั่ง แบ่งเป็นชั้นธุรกิจ 42 ที่นั่ง ชั้นประหยัด 306 ที่นั่ง มีผังที่นั่งด้านในตามรูปด้านล่างนี้เลยครับ
ที่มา : https://www.seatguru.com
เชื่อว่าหลายคนที่เดินทางไปญี่ปุ่นอาจสงสัยและตั้งคำถามว่า “นั่งเครื่องบินฝั่งไหนจะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ (Mt.Fuji) ?” ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่สงสัยเช่นกัน และมีความคาดหวังสำหรับการเดินทางครั้งนี้ ว่าอยากจะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิระหว่างที่นั่งอยู่บนเครื่องบินกับเขาบ้าง จึงโทรศัพท์ขอคำปรึกษาเรื่องการจองที่นั่งกับทางคอลเซ็นเตอร์การบินไทยก่อนวันเดินทาง ทางคอลเซ็นเตอร์ก็ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี และให้คำแนะนำว่า สำหรับการเดินทางขาไป หากผู้โดยสารเลือกที่นั่งติดหน้าต่างฝั่งซ้ายของเครื่อง (แถว A) จะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ครับ
เพิ่มเติม : ภูเขาไฟฟูจิจะตั้งอยู่ระหว่างเมือง โอซาก้ากับโตเกียว หากใครเดินทางลงสนามบินนานาชาติคันไซ จะมองไม่เห็นภูเขาไฟฟูจิ (ถ้าลงนาริตะกับฮาเนะดะยังมีสิทธิ์เห็นครับ)
เป็นโชคดีของผมมากๆ ที่ตอนโทรศัพท์สอบถามเหลือที่นั่งริมหน้าต่างฝั่งซ้ายอยู่ 1 ที่พอดี ตำแหน่ง 34A จึงรีบจองแบบไม่มีรอเลยครับ ที่นั่งตำแหน่งนี้ค่อนข้างดี เมื่อเอากล้องแนบกับหน้าต่างเพื่อถ่ายภาพแล้ว สามารถถ่ายภาพวิวบนท้องฟ้าโดยที่ไม่มีปีกเครื่องบินติดอยู่ในภาพได้ครับ

มาสำรวจที่นั่งกันก่อนดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง…
เก้าอี้นั่งในชั้นประหยัดถูกตกแต่งลวดลายคล้ายผ้าไหมสีแดงสลับม่วงดูแล้วทันสมัย บนที่นั่งทุกที่จะมีหมอนวางอยู่ ด้านหน้าที่นั่งมีช่องใส่ของและนิตยสาร มีจอความบันเทิง Inflight Entertainment แบบทัชสกรีน รีโมต และโต๊ะพับได้ ช่องว่างระหว่างที่นั่งค่อนข้างกว้างพอสมควรผู้โดยสารสามารถเหยียดตัวได้ หรือหากใครอยากพักขาก็มีที่พักเท้าที่สามารถดึงลงมาได้ ด้านหน้าที่นั่งทุกที่จะมีช่องเสียบ USB 1 ช่อง ไว้สำหรับชาร์จโทรศัพท์ หรือหากใครอยากดูภาพยนตร์หรือฟังเพลงที่ต้องการก็สามารถนำ USB ของตัวเองมาเสียบที่ช่องนี้เพื่ออ่านข้อมูลขึ้นจอได้ด้วยครับ
เดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้แล้วรัดเข็มขัดนิรภัย ก่อนที่เครื่องกำลังจะออกคุณสจ๊วตและแอร์โฮสเตทจะเริ่มแจกผ้าห่มและหูฟังให้กับผู้โดยสาร

ก่อนเครื่องจะ Take Off ไฟในห้องโดยสารจะค่อยๆหรี่ลง วีดีโอสาธิตความปลอดภัยจะปรากฏขึ้นที่จอด้านหน้า (เนื่องจากไฟลต์นี้บินไปประเทศญี่ปุ่น จึงมี Subtitle ภาษาญี่ปุ่นด้านล่างด้วยครับ)


เห็นแต่ภาพและข้อความบางคนอาจนึกไม่ออก เราไปดูวิดีโอของจริงกันเลยดีกว่า…

ทันที่ที่สัญญาณปลดเข็มขัดบริเวณเหนือศีรษะดับลง แอร์โฮสเตทจะเสริฟของว่างและเครื่องดื่มครั้งแรกสำหรับใครที่ต้องการเครื่องดื่มอื่นนอกเหนือจากที่มีในถาดสามารถขอกับพนักงานได้ครับ มีทั้งเบียร์ วิสกี้ ว็อดก้า คอกเทล น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ชาเขียว ชาอู่หลง และกาแฟ* (เมนูที่บริการบนเครื่องต่างๆสามารถกดดูได้ที่หน้าจอครับ)

จากการค้นข้อมูลมาพบว่าเครื่องแบบของลูกเรือการบินไทยทั้งชายและหญิงมีความแตกต่างกัน ดังนี้
สจ๊วต (ผู้ชาย) : ผูกเน็คไทสีม่วงเป็นลายทางลง นอกเครื่องบินใส่แจ็กเก็ตสีดำ เมื่อขึ้นเครื่องบินเปลี่ยนเป็นแจ็กเก็ตสีแดงเบอร์กันดี
แอร์โฮสเตท (ผู้หญิง) : เครื่องแบบมีอยู่หลายแบบทั้งชุดแบบสากลและชุดไทย ชุดสากลออกแบบโดยคุณพิจิตรา บุณยรัตพันธุ์ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการแต่งกายในราชสำนัก และเครื่องประดับของตัวละครไทยโบราณ เน้นโทนสีม่วงเป็นหลักสร้างภาพลักษณ์เรียบหรู ดูดี และเป็นมิตรกับผู้โดยสาร
สำหรับเที่ยวบินต่างประเทศที่มีเวลาบินมากกว่า 1.30 ชั่วโมง ระหว่างที่ให้บริการผู้โดยสารบนเครื่องพนักงานคนไทยจะเปลี่ยนเครื่องแบบเป็นชุดไทยพร้อมพาดสไบบนไหล่ แตกต่างกับแอร์โฮสเตทชาวต่างชาติที่ให้บริการบนไฟลต์ด้วยกัน ที่ใส่เพียงชุดยูนิฟอร์มปกติพร้อมด้วยผ้ากันเปื้อน โดยก่อนเครื่องจะลงแอร์โฮสเตททุกคนจะเปลี่ยนเป็นชุดแบบยูนิฟอร์มปกติ
สาเหตุที่มีการเปลี่ยนชุดระหว่างที่ให้บริการ คือ เพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้โดยสาร สร้างความเป็นเอกลักษณ์ที่ดูล้ำค่า ลูกค้าต้องใช้บริการของการบินไทยก่อนเท่านั้นจึงจะมีโอกาสได้พบเจอ และเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารชาวไทยจะได้ขอความช่วยเหลือต่างๆได้ง่ายครับ (สายการบินอื่น ใครๆก็สามารถพบพนักงานในชุดเครื่องแบบได้ทั้งบนเครื่องและภาคพื้นดิน)

เนื่องจากตอนที่จองที่นั่งผ่านทางโทรศัพท์ ผมใช้สิทธิ์เลือกอาหารเป็นแบบพิเศษ “Seafood Meal (SFML)” ไว้ด้วย จึงได้รับของว่างเป็นแซนวิชซีฟู๊ดครับ (เรื่องนี้แอบเหนือความคาดหมายเล็กน้อย เพราะตอนแรกเข้าใจว่าจะได้รับอาหารแบบพิเศษเฉพาะมื้อหนักเพียงครั้งเดียว)
ผู้โดยสารทุกคนสามารถสั่งเลือกอาหารพิเศษทางคอลเซ็นเตอร์ได้ก่อนเครื่องบินออกอย่างน้อย 2 วันก่อนเดินทางฟรี
อยากจะบอกว่าที่นั่งชั้นประหยัดของการบินไทยมีบริการค็อกเทลด้วยนะครับ คุณแอร์โฮสเตทบอกมีคอกเทลให้เลือกหลากหลายแบบเลย ผมจึงลองสั่งค็อกเทลดื่ม ด้วยความที่อยากลองเมนูแปลกๆดูบ้าง จึบสั่งเมนู Bloody Mary ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันมีส่วนผสมอะไร พอได้ชิมแล้วรู้สึกไม่ถูกปากเอาซะเลย เพราะส่วนตัวไม่ค่อยชอบทานน้ำมะเขือเทศอยู่แล้ว แต่เจ้า Bloody Mary เนี่ยมันคือน้ำมะเขือเทศผสมเครื่องเทศ เกลือ และว็อดก้าแบบเต็มๆ 😭😭😭
ตอนที่ถ่ายภาพคอกเทลไฟในห้องโดยสารค่อนข้างมืด มีแสงไม่พอครับ คุณแอร์ญี่ปุ่นเดินผ่านมาจึงแอบหรี่ไฟในห้องโดยสารขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ถ่ายรูปได้ น่ารักสุดๆไปเลย
ที่จอด้านหน้าที่นั่งของผู้โดยสาร มีรายการความบันเทิงทั้งภาพยนตร์กว่า 100 เรื่อง รายการโทรทัศน์ 150 รายการ เพลงหลากหลายแนวกว่า 500 อัลบั้ม และเกมส์ให้เลือกเล่น โดยรีโมตที่อยู่ด้านหน้าที่นั่ง ด้านหลังจะเป็นคีย์บอร์ดกับ Joy Sick สำหรับใช้กดเล่นเกมครับ (ภาพยนตร์ใหม่ๆมีเยอะพอสมควร บางเรื่องเพิ่งเข้าฉายในโรงเมื่อต้นปีเองครับ)
สรุปผมเลือกดูเรื่อง The Boss Baby ครับ

ระหว่างที่เดินทางไฟในห้องโดยสารจะถูกหรี่ลงจนมืดเพื่อให้ผู้โดยสารได้พักผ่อน สำหรับใครที่อยากแปรงฟันก่อนนอน หรือนอนไม่ได้ถ้าแสงไม่มืดสนิทสามารถขอผ้าปิดตา (Eye Shade) และชุดแปรงสีฟันกับพนักงานได้ฟรีนะครับ ผ้าปิดตาของการบินไทยค่อนข้างนุ่ม และใช้ผ้าคุณภาพค่อนข้างดีเลยทีเดียว ส่วนแปรงสีฟันที่แจกด้านในมียาสีฟันให้ด้วยยี่ห้อ fluocaril ครับ

เมื่อบินได้ถึงเวลาประมาณ 4.30 น. ของญี่ปุ่น (2.30 น. ของเมืองไทย) ไฟในห้องโดยสารจะค่อยๆสว่างขึ้น พร้อมกับแสงอรุณของเช้าวันใหม่


ตอนนี้พนักงานกำลังเริ่มทำการเสริฟอาหารเช้าให้กับผู้โดยสาร หากใครสั่งอาหารพิเศษไว้ล่วงหน้าจะได้รับอาหารก่อนเป็นคนแรกๆครับ ให้เตรียมเปิดโต๊ะด้านหน้าที่นั่งลงมา หากใครสังเกตดูจะพบว่ามันสามารถยื่นพับออกมาได้ 3 Step คือ 1.พับครึ่งเดียว 2.เปิดเต็มแผ่น และ 3.เลื่อนเข้ามาให้ใกล้ตัวเพิ่มได้ด้วยครับ

เปิดดูในฟอยด์ซักหน่อย…
เมนูของ Seafood Meal ที่ได้ คือ “เสต็กซีฟู๊ดย่าง” (มีกุ้ง 2 ตัว ปลาหมึก 2 ชิ้น และเนื้อปลา) เสริฟพร้อมมันฝรั่งบด มะเขือเทศย่าง และถั่วต้ม คุณภาพดี รสชาติอร่อย (เมนูนี้ค่อนข้างเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติ หลายคนบอกว่าเมนูนี้เป็นอาหารเช้าบนเครื่องบินชั้นประหยัดที่ดีที่สุดเลยทีเดียวครับ)
เมื่อนั่งทานได้สักพักพนักงานจะทำการเสริฟน้ำอีกรอบ ในตอนนี้เครื่องดื่มร้อนจะมีชาเขียวกับกาแฟ ใครอยากลองอะไรสามารถสั่งได้ครับ ผมเลือกสั่งน้ำชาเขียวและแอปเปิ้ลครับ (แนะนำให้ลอง)

สำหรับคนที่ไม่ได้สั่งอาหารมาล่วงหน้า เมนูที่ทางสายการบินมีให้เลือกจะมีอยู่ 2 แบบ คือ American Breakfast เป็นไข่ออมเลต ไส้กรอก มะเขือเทศย่าง กับ Japanese Style Breakfast คือ ข้าวต้มครับ โดยทุกเมนูจะมี ครัวซอง ผลไม้สด โยเกิร์ต และน้ำผลไม้แจกให้เหมือนกัน
มาสำรวจห้องน้ำกันบ้างดีกว่า…
ห้องน้ำค่อนข้างกว้างครับ ที่อ่างล้างหน้าจะมีน้ำหอมกลิ่นมะลิวางให้บริการอยู่ (กลิ่นอโรม่ามากๆ) สามารถใช้ฉีดเพื่อดับกลิ่นได้ครับ

ช่วงก่อนเครื่องลงจอดประมาณ 40 นาที ผมลองมองหน้าออกไปที่นอกหน้าต่าง ในที่สุดก็ได้พบกับสิ่งคาดหวังว่าอยากเห็น นั่นก็คือ “ภูเขาไฟฟูจิ” นั่นเอง 😃😃😃



หลังจากชมความงามของภูเขาไฟฟูจิได้สักพัก สัญญาณรัดเข็มขัดเหนือที่นั่งก็สว่างขึ้น กัปตันประกาศว่าใกล้ถึงจุดหมายปลายทาง สภาพอากาศวันนี้มึเมฆหนา อุณหภูมิที่ปลายทางประมาณ 22 องศาเซลเซียส

6.00 น. เครื่องบินถึงสนามบินนานาชาตินาริตะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยสวัสดิภาพ และค่อยๆเคลื่อนตัวมายังเกท

เมื่อเครื่องจอดแล้วก็ได้เวลาออกจากเครื่องไปรับกระเป๋า ระหว่างทางที่เดินจะผ่านที่นั่งชั้น Business Class ด้วยครับ

สุดท้ายก่อนเดินออกจากประตูจะพบกับคุณแอร์โฮสเตทพร้อมกับรอยยิ้มสวยๆ ยืนสวัสดี และพูดขอบคุณผู้โดยสารทุกท่านเดินทางกับการบินไทย เป็นการจบรีวิวการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งนี้ครับ

ด้วยบริการที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และความตั้งใจในบริการของพนักงาน ด้วยความอร่อยของรสชาติอาหาร สิ่งของที่แจกบนเครื่อง และความสะดวกสบายที่สายการบินแห่งนี้มอบให้แก่ผู้โดยสาร ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมปีนี้การบินไทยถึงได้รับรางวัล The Best Economy class of the year 2017
หากมีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศอีก สายการบินแห่งนี้จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรกๆที่ผมนำมาตัดสินใจก่อนเดินทางแน่นอนครับ (ถ้ามีโปรและราคาไม่สูงจนเกินไป)
ใครอยากได้ประสบการณ์การเดินทางไปต่างประเทศแบบสะดวกสบาย มีบริการที่ดี และได้ความรู้สึกที่เป็นกันเองในการเดินทาง “การบินไทย” อาจเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจครับ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านจนจบครับ :]
One Reply to “[รีวิว] ประสบการณ์เดินทางไปญี่ปุ่นกับการบินไทย เที่ยวบิน TG640”