Continued from Part 2
17.40 น. หลังจากที่เดินมาอย่างยาวนานในที่สุดตอนนี้ก็ขึ้นมาจนถึงชั้น 8 ระดับความสูง 3,100 เมตรครับ
\(‘ o ‘)/ \(‘ o ‘)/ \(‘ o ‘)/

แต่เดี๋ยวก่อน! ที่ชั้น 8 นี้ เขาไม่ถือว่าเป็นชั้น 8 ที่แท้จริงครับ เพราะชั้น 8 ดั้งเดิม (The Original 8th Station) นั้นอยู่ที่ความสูง 3,400 เมตร ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่พักที่ผมจองได้จองไว้ล่วงหน้าแล้วนั่นเอง..

เดินต่อขึ้นมาเรื่อยๆ ผู้คนก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆครับ
19.17 น. ฟ้ามืดสนิทแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงที่พักซักที ในใจนี่ท่องสะกดจิตตัวเองไว้ตลอดราวกับท่องนโมสามจบ “จะถึงแล้วๆๆๆๆ” ตอนนี้ท้องเริ่มร้องแล้วครับ แม้สุดท้ายรู้ว่าแค่ขึ้นบันไดไปอีกนิดเดียวไม่ถึง 5 นาทีก็จะถึงโรงแรมซึ่งมีอาหารเย็นให้ แต่ก็ขอแวะซื้อเสบียงเติมพลังไว้ก่อน (จริงๆคือจะหาเรื่องนั่งพักแหละ)
และเสบียงชิ้นนั้นก็คือ… “ขนมปังไส้ถั่วแดง อันปังแมน!!!!!”
ยอมรับในความพยายามของร้านเขาจริงๆที่อุตส่าห์เอาขนมปังขึ้นมาขายถึงบนชั้นนี้ (แถมขายไม่แพงด้วยนะ)

พอยิ่งมืดยิ่งมองอะไรไม่เห็นครับ อากาศก็หนาวด้วย ต้องหยิบไฟฉายคาดหัวขึ้นมาเพิ่อใช้เป็นไฟนำทาง (ใครที่มีแผนปีนฟูจิตอนกลางคืนแนะนำเลยครับ เสื้อลองจอน ขนเป็ด อะไรที่ใส่กันหนาวได้ ขนใส่มาให้หมด)

19.25 น. ในที่สุดก็มาถึงที่พัก “Origanal 8th Sta. Tomoe-Kan (本八合目トモエ館)” (ถึงซักที…)

พอมาถึงก็ขอถ่ายรูปสำรวจที่นอนในคืนนี้หน่อยครับ
ที่นอนบนนี้ไม่มีห้องส่วนตัวให้ เป็นห้องรวมที่มีถุงนอนกันหนาววางเรียงแทบจะแนบชิดติดกัน (จริงๆ ตอนนอนก็แนบเนื้อแหละ) กระเป๋าให้วางไว้เหนือถุงนอนครับ ที่นี่ไม่มีที่ชาร์จแบตและปลั๊กให้ หากอยากชาร์จแบตต้องใช้เพาเวอร์แบงค์ของตัวเอง สำหรับห้องน้ำ ลูกค้าโรงแรมเสียครั้งละ 200 เยน ถ้าไม่ใช่ลูกค้าโรงแรม 300 เยนครับ (ด้านหน้าห้องน้ำจะมีก๊อกน้ำให้กดแปรงฟันได้)
ปล. ณ ความสูงระดับนี้ แม้เขาจะบอกว่าไม่มีน้ำ-ไฟฟ้าให้ใช้ โรงแรมต้องปั่นไฟ และขนน้ำจากข้างล่างขึ้นมาเอง แต่สัญญาณโทรศัพท์ 4G กลับมีแรงมากครับ

เมื่อสำรวจและวางกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็จะได้รับบัตรคิวสำหรับเรียกรับประทานอาหารเย็นครับ


สำหรับใครที่ไม่ได้พักที่โรงแรมนี้ ด้านข้างของโรงแรมจะมีร้านอาหารอยู่ครับ สามารถเข้าไปสั่งอาหารรับประทานได้ บะหมี่ ราเมง นิสชินกระป๋องก็มี (แต่ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาครับ)
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็รีบเข้านอน เพราะพรุ่งนี้เช้าต้องตื่นเวลาตีสอง เพื่อเดินทางต่อครับ…
11 August 2017
2.00 น. ได้เวลาตื่นนอนแล้ว อยากจะบอกว่าเราไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกก็ตื่นได้ครับ เพราะเสียงนาฬิกาปลุกของหลายคนทั้งดัง ทั้งสั่น ในเวลานี้เหมือนกัน
ปุจฉา : ถามว่าพอได้นอนแล้ว ตื่นมาจะสดชื่นไหม?
วิสัชชนา : คำตอบคือ คิดว่าไม่ ก่อนที่เราจะนอนได้นั้น เราต้องผ่านอุปสรรคหลายอย่างมามากมายกลไกร่างกายถึงจะยอมปิดชัตดาวน์ตัวเอง เพราะตลอดเวลาที่เรานอนนั้นจะได้ยินเสียงกรนของผู้คนดังสนั่นหวั่นไหวไปมาจากหลายกระหย่อมเป็นพักๆ (นี่เป็นสาเหตุที่แนะนำให้พกที่อุดหูมาด้วย) แถมเวลานอนก็ต้องเกร็งตัว เวลาจะขยับ ตัว แขน หรือขาแต่ละครั้งก็ต้องคอยรู้สึกเกรงใจคนที่นอนข้างๆ อีก
2.24 น. หลังจากที่เก็บของทุกอย่าง แต่งตัวเตรียมเดินทางขึ้นยอดเสร็จแล้ว ก็ต้องออกมาต่อคิวสำหรับเดินไปยังยอดเขาครับ (คนเดินกันแน่นเชียว)

สาเหตุที่ตอนนี้คนเยอะอีกอย่างหนึ่งอาจเป็นเพราะ ตั้งแต่โรงแรมไปจนถึงยอดเขา เส้นทางปีนเขา Yoshida Trail (สายสีเหลือง) กับ Subashiri Trail (สายสีแดง) จะเป็นทางเดียวกัน
The world is a country which nobody ever yet knew by description; one must travel through it one’s self to be acquainted with it.
– Lord Chesterfield –
โลกนี้คือดินแดนที่ไม่มีใครรู้จักมันได้จากการบอกเล่า แต่คนเราจะต้องเดินทางท่องเที่ยวไปเพื่อทำความรู้จักกับมันด้วยตัวเอง
– ลอร์ด เชสเตอร์ฟิลดิ์ –
3.30 น. ระหว่างที่ปีนอยู่นั้นก็เกิดฝนตกปรอยๆลงมา
ผมรีบเก็บกล้องทันที ในใจตอนนั้นก็แอบกลัวครับว่าถ้าเช้าแล้วจะไม่ได้เห็นอะไรแน่ๆ เพราะจู่ๆดันมีฝนตกมาแบบนี้ โชคดีครับที่เสื้อกับกระเป๋ากันละอองฝนได้ เลยไม่มีปัญหาอะไร ตอนนั้นได้แต่หวังในใจลึกๆขออย่าให้ฝนตกแบบนี้ไปจนถึงบนยอดเขาเลยนะ
4.50 น. ถึงยอดภูเขาไฟฟูจิ (ชั้นที่ 10) ระดับความสูง 3,776 เมตร ฝนยังไม่มีท่าทีจะหยุดตกเลยแม้แต่น้อย หมอกหนาทึบคลุมพื้นที่ไปทั่วบริเวณ ทุกคนต่างวิ่งกรูกันมาหลบฝนในวัดและร้านอาหารโดยรอบ

หลังจากที่เข้ามาแล้วก็ได้กลิ่นหอมยั่วยวนของราเม็งมากๆ พอพนักงานเสริฟเดินผ่านที่นั่งตรงไหน ทุกคนต่างขอสั่งเมนูแบบเดียวกันคือ “เอาเหมือนที่กำลังมาเสริฟที่นึง”

5.14 น. ระหว่างที่กำลังทานราเม็งได้สักพัก ก็มีเสียงคนตะโกนดังขึ้นมาว่า “Sun Rise! (พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว!)” ทันทีที่สิ้นประโยค ทุกคนต่างหันหน้าขวับออกไปทิศทางเดียวกันคือที่ประตูหน้าร้าน
ส่วนผมน่ะหรือ… วิ่งออกมาที่ระเบียงเพื่อถ่ายรูปสิครับ :]
ฟ้าหลังฝน ย่อมสวยงามเสมอ
ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว
หมอกที่เคยหนาทึบก็เริ่มจางหายไป
ฟ้าที่เคยมึดมิดกลับค่อยๆสว่างสดใสขึ้นมาเรื่อยๆ

หลังจากที่พระอาทิตย์ส่องแสงได้ไม่นาน เมฆหมอกก็กลับมาปกคลุมอีกครั้ง ผมจึงเดินสำรวจพื้นที่ด้านบนแทนครับ

ศาลเจ้าบนภูเขาไฟฟูจิมีชื่อว่า “ศาลเจ้าคูชูชิ (Kusushi Shrine – 久須志神社)” ด้านในมีจุดแสตมป์ไม้พลอง มีเครื่องราง และแผ่นไม้คำอธิษฐานจำหน่าย
5.41 น. เดินออกมาด้านนอกศาลเจ้า ปรากฏว่าตอนนี้ท้องฟ้าสวยมากกว่าแวบแรกที่เห็นอีกครับ ขณะที่กำลังหยิบกล้องขึ้นมาจะกดชัตเตอร์เพื่อถ่ายพระอาทิตย์ครั้งที่สองอยู่นั้น ไฟสีแดงที่มุมหน้าจอขวาบนของกล้องผมก็กระพริบรัวๆ พร้อมกับขึ้นข้อความประโยคสั้นๆเขียนว่า “Low Battery” แล้วเครื่องก็ดับสนิทไป o-O
อ่าวเฮ้ย! กดได้รูปเดียวก็ดับเลยหรอ ผมก็คิดไปว่า ไม่เป็นไร เรายังมีแบตเตอร์รี่สำรองอีกก้อน แต่สิ่งที่แย่กว่านั้นคือ แบตเตอร์รี่อีกก้อนที่ตอนแรกเข้าใจว่าชาร์จมาเต็มแล้ว ไฟดันไม่เข้าครับ
เฮ้อ!… อะไรก็เกิดขึ้นได้จริงๆ
ตอนนั้นผมนี่อยากจะร้องไห้แล้วครับ ให้ขึ้นมาอีกรอบคงไม่เอาแน่ๆ (T-T) ยังโชคดีครับที่มีโทรศัพท์ยังมีแบตเหลืออยู่ 50% หลังจากนี้เลยได้แต่ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปครับ


เดินย้อนกลับมาหน่อยจะเจอกับเสาโทริอิ ทางขึ้นก่อนถึงยอดภูเขาไฟครับ จะเห็นว่าคนปีนกันขึ้นมาเรื่อยๆ


ถัดจากร้านค้ามาจะเป็นปากปล่องภูเขาไฟฟูจิ อากาศบริเวณนี้หนาวมากๆ อุณหภูมิประมาณ 5 องศาเซลเซียส สีขาวๆมองเห็นว่าที่เกาะอยู่บนหินคือหิมะครับ


ขอเซลฟี่ด้วยกล้อง 360 องศา กับปากปล่องภูเขาไฟ 1 รูปครับ (ไม่น่าเชื่อว่าบนนี้ก็มีสัญญาณ 4G ให้แชร์รูปได้ด้วย)
6.22 น. หลังจากที่เพลิดเพลินบนยอดภูเขาไฟฟูจิได้พักใหญ่ ก็ถึงเวลาเดินทางกลับแล้วครับ ผมจองรถกลับโตเกียวรอบเวลา 13.00 น. เลยคิดว่าอาจต้องทำเวลาพอสมควร และเนื่องจากโรงแรมที่พักชั้น 8 มีอาหารเช้าให้ทานด้วย ต้องรีบลงมาทานอาหารก่อนกลับ แอบกลัวจะไม่ทันครับ
TIPS : ปกติทางเดินขึ้นกับลงจะแยกเส้นทางกัน แต่ทางเดินจากยอดเขา (10th Station) มายังฟูจิชั้น 8 (Original 8th Station) จะเป็นจุดเดียวที่ขาลงจะมาบรรจบกับขาขึ้น หากใครจองโรงแรมที่ชั้นนี้ สามารถแวะกลับมาที่โรงแรมเพื่อรับประทานอาหารเช้าตอนเดินลงได้ครับ

ขาขึ้นว่าน่ากลัวแล้ว ขาลงแอบดูหวาดเสียวกว่า เส้นทางเดินลงเป็นทางลาดที่ไม่มีขอบกั้นครับ เวลาเดินลงจะให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังอยู่บนก้อนเมฆ ทางเดินจุดนี้จะเป็นก้อนกรวดเล็กๆตลอดเส้นทาง ไม้พลองหรือ Tacking pole ที่เราพกมานี่แหละ จะเป็นตัวช่วยพยุงน้ำหนักเท้าเราเวลาก้าวลง ไม่ให้หกล้มหน้าคะมำ (เดินเร็วๆเห็นล้มคว่ำหลายคนเลยครับ)




7.15 น. ใช้เวลาเดินจากยอดมา 50 นาที ก็ถึงภูเขาไฟฟูจิชั้นที่ 8 ซึ่งเป็นที่พักโรงแรม
เมนูข้าวกล่อง (เบนโตะ) อาหารเช้าของโรงแรมก็คือ… ข้าวผัดกระเทียมหน้าบ๊วยเค็ม พร้อมเครื่องเคียงเป็นปลาแซลมอนทอด ไข่หวาน และผักดองครับ
7.40 น. กินอิ่มมีแรงแล้วก็ได้เวลาเดินลงเขากันต่อ…
เมื่อถึงทางเดินแยกเส้นทางลงระหว่างสายสีเหลืองกับสีแดง จะมีป้ายขนาดใหญ่เตือนครับ ขอบอกว่าห้ามเดินผิดเด็ดขาด เพราะไม่อย่างนั้นปลายทางจะได้ไปถึงเป็นคนละจังหวัดกันเลยครับ



มีข้อสังเกตว่าทุกๆหัวมุมโค้งจะมีหมายเลขของโค้งบอก โค้งแรก No.1 คือโค้งที่เริ่มต้นจากยอดเขา ส่วนโค้งสุดท้าย No.53 คือ โค้งที่ต้องเดินก่อนจะไปถึงภูเขาไฟฟูจิชั้นที่ 5

ช่วงลงโค้งแรกๆก็ยังตื่นเต้นอยู่ครับ โค้งมุมนี้วิวสวย โค้งมุมนั้นวิวดี แต่พอเดินไปเรื่อยๆ ได้แต่คิดในใจ เราจะมาเดินทำไม (วะ) เนี่ย?? โค้งไหนๆก็คล้ายๆกัน ขอให้เดินจบๆซักทีเถอะ
เพิ่มเติม : ตลอดทางเดินลงไม่มีที่ให้หลบแดดนะครับ เห็นอากาศเย็นๆเจอแดดอุ่นๆรู้สึกสบาย แต่อันที่จริงไม่ใช่เลย UV แผดเผาผิวหนังแบบไม่มีเมฆมาช่วยกั้นเต็มๆ ใครมีครีมกันแดดอะไรก็ทากันไว้นะครับ SPF ยิ่งเยอะยิ่งดี ไม่งั้นลงมาแล้วผิวอาจลอกได้เลย


พอเดินลงมาถึงประมาณโค้งที่ 40 ผมก็ได้คำตอบที่แอบสงสัยในใจครับว่า ร้านค้าบนยอดเขาแต่ละร้านเขาขนของกันขึ้นมาอย่างไร
รถขนของมีล้อเหมือนกับรถถังครับ ดูแล้วคนขับต้องบังคับรถเก่งมากเลย เพราะแต่ละโค้งนี่ดูน่าหวาดเสียวมากๆ ที่กั้นตามมุมต่างๆก็ดูไม่น่าจะสามารถช่วยอะไรได้หากรถไถลลงมา

9.53 น. พอถึงโค้ง No.53 อย่าเพิ่งดีใจนะครับ (แน่นอนว่าเผลอดีใจไปแล้ว) เราจะเจอกับป้ายนี้ ซึ่งบอกกับเรา เหมือนกับจะให้กำลังใจว่าเหลือระยะทางอีก 3.1 Km นะจ๊ะ
3.1 กิโลเมตรที่เหลือจะเป็นทางเดินในอุโมงค์ และป่าสนครับ



11.28 น. ในที่สุดก็มาถึงภูเขาไฟฟูจิชั้นที่ 5 โดยสวัสดิภาพครับ :]
การพิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิในครั้งนี้ มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดต่างๆเกิดขึ้นมาระหว่างทางมากมาย หลายเหตุการณ์ก็เป็นเรื่องที่ลืมไม่ลง สำหรับความรู้สึกหลังปีนภูเขาไฟฟูจิลงมาแล้ว ผมรู้สึกว่าการเดินทางไปพิชิตยอดภูเขาไฟฟูจินั้น ไม่ง่าย และไม่ยากเกินไปครับ ความสำเร็จในการพิชิตนั้น ทุกคนสามารถทำได้ เพียงแค่วางแผนเตรียมตัวล่วงหน้า มีใจที่แน่วแน่ และไม่ย่อท้อ (แต่ต่อให้ท้อระหว่างทางก็ลงมาไม่ได้อยู่ดี) ถ้าถามผมว่าจะมาปีนดูอีกสักครั้งไหม ต้องลองคิดก่อนนะครับ อย่างที่เขาว่ากันแหละครับ ปีนภูเขาไฟฟูจิสักครั้งในชีวิตก็เพียงพอแล้วนะ 😀😀😀
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณ
บริษัท Fujikyuko co. ltd ผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายการเดินทางมาพิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิในครั้งนี้
คุณ Yamashita สำหรับการช่วยดูแลแผนการ การให้คำปรึกษา และความเป็นห่วงในช่วงที่มีพายุเข้าก่อนที่จะปีนภูเขาไฟ
พี่เจ๊๊ยบ ยุวดี สำหรับคำแนะนำ การช่วยดูแล และการติตต่อประสานงานร้านเช่าชุดชาวญี่ปุ่นให้ตอนเกิดเหตุต้องเลื่อนแผนการเดินทาง
พี่อู๋ ผู้ร่วมทริป ที่ช่วยดูแลผมไม่ปล่อยผมไว้กลางทางระหว่างปีน
และขอขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามอ่านจนกระทั่งถึงท้ายบทความนี้ครับ :]
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนไม่น้อย ก่อนจบขอฝากวลีสั้นๆที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติไว้อีกประโยคครับ
Nature is a mutable cloud which is always and never the same
– Ralph Waldo Emerson –
ธรรมชาติก็เหมือนกับก้อนเมฆ มีอยู่เสมอ แต่ไม่เคยเหมือนเดิมตลอดเวลา
– ราล์ฟ วัลโด เอเมอร์สัน –
ใครมีประสบการณ์ท่องเที่ยวฟูจิเป็นอย่างไรก็อย่างลืมมาเล่าให้ฟังกันบ้างนะครับ
เพิ่มเติม : สำหรับใครที่ปีนฟูจิเสร็จแล้วสนใจอยากออกประกาศนียบัตรเป็นที่ระลึกสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ : http://www.fujisan3776.com/index_en.html
อ่านบทความย้อนหลัง
Part 1 : [รีวิว] ประสบการณ์ “ปีนภูเขาไฟฟูจิ” ครั้งนั้น…ฉันไม่ลืม
Part 2 : ประสบการณ์ “ปีนภูเขาไฟฟูจิ” ครั้งนั้น… ฉันไม่ลืม [Part 2]