เมื่อมีแผนเดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่น คำถามในใจที่ใครหลายๆอาจจะสงสัยก็คือ “แล้วจะเดินทางไปด้วยสายการบินอะไรดีล่ะ?” ไฟลต์เที่ยวบินเดินทางไปญี่ปุ่นจากประเทศไทยมีอยู่หลากหลายรูปแบบทั้ง Full service Airline, Low cost Airline แถมยังมีให้เลือกอีกว่าจะบินแบบ บินตรง หรือ Transit (Stop Over)
สำหรับใครที่ชอบความสะดวกสบายและไม่มีปัญหาเรื่องการเงิน อาจเลือกบินสายการบินแบบ Full service แต่หากใครอยากจะประหยัดลงมาหน่อยก็คงเลือกบินสายการบิน Low cost แต่ถามว่าจะดีแค่ไหน ถ้าเราได้บินไปญี่ปุ่นในบริการแบบ Full service แต่จ่ายเงินในราคาเท่ากับเพียงสายการบิน Lowcost แล้วสายการบินแบบนี้จะมีจริงหรือ? คำตอบคือ มีครับ สายการบินนั้นก็คือ “ฮ่องกงแอร์ไลน์ (Hong Kong Airlines)” นั่นเอง!
“ฮ่องกงแอร์ไลน์ (Hong Kong Airlines)” เป็นสายการบินยอดนิยมอีกแห่งที่คนไทยนิยมใช้เดินทางไปญี่ปุ่น แต่ยังไม่ค่อยมีข้อมูลรีวิวบนอินเตอร์เน็ตมากนัก ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2549 เป็นสายการบินที่มีฐานการบินหลักอยู่ที่ “สนามบินเช็กแล็บก็อก (Chek Lap Kok Airport)” หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ “ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง (Hong Kong International Airport)” มีดอกชงโค ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่บนธงของเขตเศรษฐกิจฮ่องกง เป็นโลโก้ของสายการบิน จากการจัดอันดับโดย Skytrax ครั้งล่าสุดปี 2017 นั้น สายการบินแห่งนี้ได้รับรางวัลให้เป็นสายการบินระดับ 4 ดาว

จุดเด่นของของสายการบินแห่งนี้คือการให้บริการแบบ Full service บนเครื่องบิน มีเสริฟน้ำและอาหารระหว่างการเดินทาง มีหมอนและผ้าห่มให้ผู้โดยสาร มีบริการ Inflight entertainment หรือจอโทรทัศน์ส่วนตัวทุกที่นั่ง โดยผู้โดยสารชั้นประหยัดสามารถหิ้วกระเป่าขึ้นเครื่องไม่เกิน 1 ใบ น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม และโหลดกระเป๋าใต้ท้องเครื่องได้ฟรี ไม่เกินคนละ 20 กิโลกรัม
เช็กรายละเอียดเรื่องข้อมูลกระเป๋าได้ที่ : http://www.hongkongairlines.com/en_HK/services/baggage/handcarry
เส้นทางการเดินทางของสายการบินมีหลากหลาย สำหรับการเดินทางไปญี่ปุ่น กรุงเทพ-โตเกียว (นาริตะ) ที่จะรีวิวในวันนี้นั้น จะเป็นการเดินทางแบบต้องเปลี่ยนเครื่อง (Transit) ที่สนามบินฮ่องกง (ฺBKK-HKG-NRT) มาดูกันดีกว่าครับว่าการเดินทางไปญี่ปุ่นด้วยสารการบินนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง…
ผมวางแผนเดินทางไปท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นครั้งนี้ในช่วงวันปีใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าในเวลาช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆแบบนี้ ราคาค่าตั๋วของแต่ละสายการบินสูงกว่าในช่วงเวลาปกติมากๆ ในขณะนั้นสายการบิน Full service อย่าง การบินไทย, Singapore Airlines, JAL และอื่นๆ ราคาตั๋วพุ่งทะยานขึ้นไปสูงถึง 30,000 บาท/คน (ปกติ 18,000-22,000 บาท/คน) แม้กระทั่งสายการบินต้นทุนต่ำต่างๆอย่าง Air Asia X, Jetstar หรือ Nok Scoot ที่คิดราคาเฉพาะค่าที่นั่งเพียงอย่างเดียว ก็ไม่ยอมน้อยหน้าตั้งราคาพุ่งทะยานสูงถึง 15,000-17,000 บาท/คน เหมือนกัน (ปกติ 9,000-12,000 บาท/คน)
เป็นเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก ว่าในขณะที่ราคาสายการบินอื่นๆสูงมากขนาดนี้ ฮ่องกงแอร์ไลน์กลับราคาเพียง 11,000 บาท (ปกติ 10,000-13,000 บาท) และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ บนหน้าเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสายการบิน Hongkong Airline เองกลับมีเวลาบินให้เลือกเยอะ และราคาตั๋วที่ดีกว่าตามเว็บไซต์ที่เปรียบเทียบราคาเสียอีก นั่นเป็นเหตุให้ผมรีบจองไฟลต์สายการบินนี้ สำหรับทริปญี่ปุ่นครั้งถัดไปแบบไม่รีรอ…
TIPS : สำหรับใครที่อยากมองหาเส้นทางบินราคาประหยัด แนะนำให้วางแผนจองตั๋วล่วงหน้า 2-3 เดือนก่อนเดินทาง ลองหาข้อมูลราคาจากเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาสายการบินทั้งหลายก่อน เช่น Skyscanner, Traveloka หรืออื่นๆไว้ แต่อย่าเพิ่งจองนะครับ พอเห็นว่ามีราคาที่เราพอรับไหวแล้ว ให้ลองเปิดเช็กราคา และเที่ยวบินที่หน้าเว็บไซต์สายการบินนั้นจริงดูอีกที บางครั้งราคาที่จองจากเว็บไซต์สายการบินโดยตรงอาจถูกกว่าก็ได้ครับ
ผมเลือกเดินทางไปญี่ปุ่นช่วงปีใหม่วันที่ 2-18 มกราคมที่ผ่านมา สาเหตุที่ไม่เดินทางวันสิ้นปี หรือวันปีใหม่โดยตรงเป็นเพราะ ที่ประเทศญี่ปุ่นไม่นิยมจัดงานเฉลิมฉลองวันปีใหม่แบบครื้นเครงเช่นเดียวกับไทย คนส่วนใหญ่จะเลือกฉลองสิ้นปีอยู่กับครอบครัวที่บ้าน และไปขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลในวันปีใหม่กันที่วัด ทำให้สถานท่องเที่ยวต่างๆ ห้างร้าน และร้านอาหารเกือบทั้งหมดปิดให้บริการในช่วงสองวันนี้
ไฟลต์การเดินทางของฮ่องกงแอร์ไลน์ตามกำหนดการขาไปจากกรุงเทพ-โตเกียว แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ BKK-HKG (HX774) 4.00-8.05 น. และ HKG-NRT (HX608) 9.15-13.55 น. เคาน์เตอร์ที่สนามบินจะเปิดให้เช็กอินเพื่อโหลดกระเป๋าก่อนเวลาบิน 3 ช่ั่วโมง เท่ากับว่าเราต้องมาถึงสนามบินเพื่อเช็กอินเวลาประมาณ ตี 1 ครับ (คืนนั้นทั้งคืนไม่ได้นอน 1 คืน)
เริ่มต้นจากการเช็กอินที่สนามบินสุวรรณภูมิที่ช่อง K




หลังจากที่ผ่านตม.มาแล้ว ก็ได้เวลารอเกทเปิดครับ ช่วงเวลาดึกขนาดนี้ ถ้าไม่ช็อปปิ้งก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่าไปนั่งทานขนมฟรีรอขึ้นเครื่องในเลาจน์ที่ Kingpower Space อีกแล้วครับ

เกทขึ้นเครื่องจะเปิดก่อนเวลา 45 นาที พอถึงเวลา 3.15 น.ได้เวลาไปขึ้นเครื่องที่ช่อง 7D ครับ



หลังจากที่เข้ามาในเครื่องแล้วเราจะพบกับหนังสือพิมพ์หลากหลายภาษาเป็นจำนวนมาก สามารถเลือกหยิบไปอ่านที่ที่นั่งกันได้ฟรี

เที่ยวบิน HX774 นี้ใช้เครื่องบิน Airbus A330-300 แบ่งที่นั่งบนเครื่องในแต่ละแถวเป็นแบบ 2-4-2 ลูกค้าสามารถจองหมายเลขที่นั่งได้ตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วเครื่องบินบนเว็บไซต์ แนะนำให้เลือกแถวริมหน้าต่างนะครับ จะได้ไม่อึดอัด

ไฟล์ตนี้คนค่อนข้างแน่นครับ ผู้โดยสารไม่ค่อยมีคนไทย ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งและคนจีน (แอบมีเสียงดังหน่อยๆ) เมื่อนั่งได้สักพัก แอร์โอสเตทก็จะเริ่มเดินแจกหูฟังใช้แล้วทิ้ง และผ้าห่มให้ผู้โดยสาร (แต่หูฟังเสียงไม่ค่อยดีครับ แนะนำใช้ของส่วนตัวจะดีกว่า)


ด้านหน้าของที่นั่งชั้น Economy จะมีช่อง USB สำหรับชาร์จโทรศัพท์ มีจอทัชสกรีพร้อมรีโมต และเอกสารคู่มือความปลอดภัยหน้าที่นั่ง ทางสายการบินไม่มีหมอนแจกให้ หากเราต้องการที่พิงหนุนให้ปรับหัวเบาขึ้นมาจะสามารถเป็นหมอนรองคอได้ บริเวณแขนที่นั่งจะมีปุ่มปรับเอนเบาะ และช่องเสียบหูฟัง
นั่งรอได้สักพักไฟในห้องโดยสารก็เริ่มหรี่ลงสัญญาณคาดเข็มขัดนิรภัยก็สว่างขึ้น เตรียม Take off

วิดีโอสาธิตความปลอดภัยก็จะเปิดขึ้นอัตโนมัติที่หน้าจอ…
หลังจากวีดีโอจบ หน้าจอทัชสกรีนจะถูกปลดล็อก ผู้โดยสารสามารถใช้บริการ Inflight Entertainment ได้เลยครับ

ภาพยนตร์ที่ให้เลือกชมมีทั้งฮอลลีวูดและหนังจีน แต่อาจลำบากเล็กน้อยสำหรับคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ เพราะภาพยนตร์ไม่มี Subtitle ให้ครับ หลังจากทีเครื่องขึ้นได้ประมาณ 30 นาที แอร์โอสเตทก็เริ่มทำการแจกของว่างและเครื่องดื่ม

และของว่างที่มาเสริฟนั้นก็คือ…. “ขนมปังร้อน 1 ก้อนในตำนาน” นั่นเอง



อยากจะบอกว่าแอบรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยครับ เพราะตลอดไฟล์ตบินนี้ ไม่มีอะไรแจกเพิ่มเติมนอกจากขนมปังก้อนนี้อีกแล้ว (ขนมปังแอบแห้งและแข็งไปหน่อย) โดยก่อนเครื่องลงมีการเสริฟน้ำให้แขกทุกคนอีกรอบ อาจเป็นเพราะไฟลต์นี้บินดึกด้วยแหละครับ ของกินจึงมีเสริฟให้แค่นี้ ระหว่างที่เดินทางอยู่หากใครหิวน้ำ หรือไม่อิ่มสามารถกดปุ่มเรียกบริการจากแอร์โฮสเตทเพิ่มได้ครับ
มาสำรวจห้องน้ำกันบ้างดีกว่า… ห้องน้ำบนเครื่องลักษณะเป็นแบบมาตรฐานเหมือนสายการบินทั่วๆไป ไม่มีช่องลับแจกสิ่งของอะไรใดๆ และไม่มีน้ำหอมให้ใช้เหมือนอย่างสายการบินระดับ 5 ดาว
เครื่องบินเที่ยวนี้เป็นช่วงคาบเกี่ยวที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น ระหว่างที่เราอยู่บนเครื่อง เราจะค่อยๆเห็นแสงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า


หลังจากใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งเครื่องบินก็พาเรามาถึงน่านน้ำฮ่องกง


หลายคนอาจเป็นกังวลเรื่องการเปลี่ยนเครื่องบินว่าจะมีเวลาพอไหม ไม่ต้องกังวลใจไปครับ หากเราเปลี่ยนเครื่องด้วยสายการบินเดียวกัน ส่วนใหญ่เขาไม่ปล่อยให้เราตกเครื่องอยู่แล้ว กระเป๋าที่เราโหลดมาใต้ท้องเครื่องเขาจะจัดการส่งต่อให้ลำใหม่โดยอัตโนมัติ เรามีหน้าที่ไปขึ้นเครื่องลำใหม่ให้ทันเวลาก็พอ อย่างการเดินทางครั้งนี้ผมมีเวลาเปลี่ยนเครื่องเพียง 1 ชั่วโมง แต่เวลาก็เหลือเฟือ หลังจากที่เดินออกจากเครื่องบินลำเก่ามาเราจะพบกับจอโทรทัศน์บอกเกทที่ต้องเดินไปเพื่อต่อเครื่องครับ (จอจะสลับ 2 ภาษาระหว่างจีนกับอังกฤษ)

หลังจากที่รู้เกทแล้วให้เราเดินตามป้ายสีเหลืองที่เขียนว่า Transfer ได้เลย

เที่ยวบิน HX608 เส้นทาง HKG-NRT จอดที่เกทหมายเลข 209 จำเป็นต้องนั่งรถไฟ Automated People Mover (APM) เพื่อไปยัง Midfield Concourse



รถไฟวิ่งมาค่อนข้างถี่ครับ ใช้เวลารอไม่นานรถไฟก็มา…

เมื่อลงจากรถไฟแล้วก็สามารถเดินมาที่เกทได้ทันที

เครื่องบินลำใหม่ที่จะเดินทางไปญี่ปุ่นจอดรอผู้โดยสารพร้อมแล้ว

การเดินทางเที่ยวบินไปญี่ปุ่นนี้ ผมเลือกจองที่นั่งแถว A ซึ่งเป็นเป็นที่นั่งติดหน้าต่างฝั่งซ้าย เนื่องจากสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ระหว่างที่อยู่บนเครื่องครับ

ลักษณะที่นั่งและการบริการก็เป็นเช่นแบบเดิมที่รีวิวไปก่อนหน้า ทั้งเรื่องมีหนังสือพิมพ์ ผ้าห่ม และหูฟังแจก แต่สิ่งที่พิเศษกว่าเที่ยวบินจากกรุงเทพ คือ เมนูเครื่องดื่มของเที่ยวบินนี้มีให้เลือกมากกว่า (มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย) และมีอาหารเช้าเสริฟให้บริการ

เมนูอาหารเช้าบนเครื่องมีให้เลือกสองแบบคือ Chinese Style กับ American Style ผมเลือกสั่งแบบหลังครับ

มาเปิดดูกันดีกว่า ว่าหน้าตาอาหารจะเป็นแบบไหน

อาหารเช้าบนเครื่องรสชาติค่อนข้างดีเลยทีเดียวครับ แต่…แค่พออยู่ท้อง รู้สึกไม่อิ่มปริมาณน้อยไปนิด (T-T) ผมแอบเหล่ของคนข้างๆที่สั่งแบบ Chinese Style เห็นเป็นผัดหมี เกี๊ยวซ่าและขนมจีบ เทียบความน่ากินกับของผมแล้วของผมชนะขาด


เมื่อใกล้ๆถึงญี่ปุ่นช่วงเมืองนาโกย่า แนะนำให้มองที่หน้าต่างของเครื่องเอาไว้นะครับ เราจะได้พบกับสิ่งนี้…

ใช้กล้องซูมถ่ายซักนิด กับปรับแสงซักหน่อย…

ใช้เวลาเดินทางรวม 4 ชั่วโมงกว่าเครื่องบินก็เดินทางมาถึงสนามบินนานาชาตินาริตะเทอร์มินัล 2 โดยสวัสดิภาพ สิ่งที่น่าหงุดหงิดที่สุดของการเดินทางเที่ยวบินนี้ คือ เครื่องบินดีเลย์แบบจอดอยู่เฉยๆบนลานวิ่งเพราะรอเข้าจอดเทียบงวงช้างสนามบินนาริตะจนทำให้สุดท้ายเวลาช้ากำหนดการไปประมาณ 40 นาที

สำหรับเที่ยวบินขากลับผมเลือกเป็นเที่ยวบิน HX611 เส้นทาง NRT-HKG เวลา 9.05-13.30 น. และ HX767 เส้นทาง HKG-BKK 2.00-3.55 น. (วันถัดไป) เพราะจะได้มีเวลาเที่ยวในฮ่องกงก่อนกลับรวม 12 ชั่วโมงครับ
เริ่มต้นการเดินที่สนามบินนาริตะ เทอร์มินอล 2
เคาน์เตอร์เช็กอินของสายการบิน Hong Kong Airlines จะอยู่ที่ช่อง F ซึ่งเป็นช่องหลบอยู่ในหลืบ

น้ำหนักกระเป๋าที่โหลดหากเกิน 20 กิโลกรัม ไม่สามารถซื้อเพิ่มเติมล่วงหน้าราคาประหยัดได้ จะต้องยอมรับเรื่องค่าปรับที่หน้าเคาน์เตอร์
สำหรับคนที่ตั้งใจจะแวะเที่ยวฮ่องกง แนะนำไม่ต้องบอกอะไรกับพนักงานที่เคาน์เตอร์เช็กอินนะครับ ให้เช็กอินตามปกติ ไม่อย่างนั้นเขาจะให้เรารับกระเป๋าเดินทางที่เราโหลดไว้ใต้ท้องเครื่องตอนถึงฮ่องกงออกมาด้วย หลังจากเช็กอินเสร็จเราจะได้รับ Boarding Pass มาสองใบเหมือนเช่นขามา ตอนนี้ให้เดินไปตม.ได้เลย แนะนำให้เผื่อเวลาด้วยก็ดีครับ เพราะคนต่อคิวเข้าตม.ช่วงเช้าเยอะมากจนแถวล้นออกมาด้านนอก

ไฟลต์บินค่อนข้างตรงเวลาครับ แต่เกทอยู่ไกลมาก เดินเหนื่อยเล็กน้อย


บรรยากาศเครื่องบินขากลับ
เมนูอาหารเที่ยวบินจากญี่ปุ่นคุณภาพค่อนข้างดีเลยทีเดียว คิดว่าน่าจะมาจากครัวของ JAL ครับ อาหารที่มีให้เลือก 2 แบบ ผมเลือกแบบ Japanese style (อีกแบบจำไม่ได้ครับ T-T)

13.30 น. เครื่องบินลงจอดสนามบินฮ่องกงตามกำหนดเวลา
สำหรับคนที่อยากเที่ยวฮ่องกงสามารถเดินมาเข้าคิวที่ตม.ได้เลย โดยทำเหมือนกระบวนการการเข้าเมืองตามปกติ กรอกใบตม.ตรงช่องที่อยู่ว่า Transit พร้อมบอกเลขไฟลต์บินกลับ (อาจแนบ Boarding Pass เที่ยวบินกลับกรุงเทพให้ตม.ดูด้วย)
การเดินทางมาครั้งนี้เป็นการท่องเที่ยวฮ่องกงครั้งแรกของผม หวังแค่แวะมาเที่ยวก่อนกลับไทยขำๆ เลยไม่ได้วางแผนละเอียดมาก รู้แค่ว่าอยากมาลองลิ้มรสชาติติ่มซำร้านดัง กับชิมโจ๊กสูตรฮ่องกงจึงปักหมุดไปที่ร้าน Tim Ho Wan สาขาห้าง Olympia City 2 จากนั้นไปเดินเล่นบนถนนนาธานเพิ่อชิมโจ๊กที่ร้าน Hung Lee ย่านจิมซาสุ่ย และพอพลบค่ำเดินมาชม The Symphony of lights กับ Stars avenue ริมอ่าว
อ่านรีวิวท่องเที่ยวฮ่องกงครึ่งวันแบบเต็มๆได้ ที่นี่
ใช้เวลาท่องเที่ยวในฮ่องกงถึง 22.00 น. ก็นั่งรถไฟกลับมาสนามบิน ก่อนเข้าตม.ไปใช้สิทธิบัตรเครดิต JCB เข้า Plaza Premium Lounge ฟรี นั่งรอจนถึงเวลาใกล้เครื่องบินออก

แล้วจึงขึ้นเครื่องบินกลับไทยตามกำหนดเวลา ถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ (ไม่น่าเชื่อเลยครับว่าไฟลต์ไม่ดีเลย์)

ไฟล์ตเที่ยวบินกลับไทยผมไม่ได้ถ่ายรูปอะไรสักเท่าไรครับ เนื่องจากดึกมากแล้ว (อยากจะนอน) และการบริการก็เหมือนกับขามา (แน่นอนว่าแจกขนมปังร้อนก้อนเดียวเหมือนเดิม T-T)
จากการเดินทางด้วยสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์เส้นทาง กรุงเทพ-ฮ่องกง-โตเกียว อาจสรุปข้อดีและข้อเสียได้ดังนี้ครับ
ข้อดี :
– ราคาถูกมาก เมื่อเทียบกับเงินที่จ่าย มีบริการต่างๆบนเครื่องบินคล้ายกับสายการบินในรูปแบบ Full Service ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และหน้าจอความบันเทิง โดยราคาตั๋วที่จ่ายเทียบเท่ากับสายการบิน Low Cost ที่ไม่ได้รับบริการอะไรบนเครื่องเลย
– เดินทางครั้งเดียวได้แวะเที่ยวถึง 2 ประเทศทั้งญี่ปุ่น และฮ่องกง
– มีไฟลต์เวลาให้เลือกหลากหลาย บินดึกถึงบ่าย ไม่เสียค่าโรงแรมที่ปลายทางฟรี 1 คืน และไม่เสียค่าโรงแรมในฮ่องกงเพิ่ม ได้เที่ยวฮ่องกงเกือบหนึ่งวันเต็มๆ
ข้อเสีย :
– เครื่องบินมีดีเลย์บ้างทำให้แผนการเดินทางเสียไปจากที่กำหนด
– พนักงานส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ทำให้อาจสื่อสารกันลำบากสำหรับคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้
– น้ำหนักกระเป๋าเดินทางโหลดได้ไม่เกิน 20 กิโลกรัม หากใครช็อปปิ้งเกินโดนค่าซื้อน้ำหนักเพิ่มแพงพอสมควร
– อาหารบนเครื่องมีปริมาณน้อย อาจไม่อิ่มสำหรับคนกินจุ และบางไฟลต์แจกแต่เพียงขนมปังกับเครื่องดื่ม
– เที่ยวบินที่ออกจากไทยมักเป็นไฟลต์ดึก ทำให้อดหลับอดนอน และหน้าโทรมได้เมื่อถึงปลายทาง (จากการสังเกตผู้โดยสารหลายคน แม้จะแต่งหน้าเข้มก็ยังมองเห็นชัดว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนมาแน่ๆ)
– การเดินทางใช้เวลานานกว่าบินตรงค่อนข้างเยอะเนื่องจากต้องเปลี่ยนเครื่องบิน ไม่เหมาะกับคนที่มีเวลาเที่ยวน้อย
สำหรับผมแล้วการเดินทางด้วยวิธีนี้ อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดหากต้องการไปญี่ปุ่น แต่ก็เป็นทางเลือกไม่ได้แย่ไปเสียทีเดียว เพราะเราจ่ายเงินเพียง 10,000 กว่าบาท ก็ได้บิน โดยเริ่มต้นบินที่สุวรรณภูมิ ได้บินในช่วงเทศกาล ในขณะที่สายการบินอื่นต้องจ่ายเงินค่าตั๋วสูงกว่าถึง 2-3 เท่า เพื่อไปถึงที่หมายเดียวกัน นอกจากนี้ยังได้แวะเที่ยวถึง 2 ประเทศ แม้จะเหนื่อยหน่อย เพราะบินดึกต้องอดหลับอดนอนตอนเดินทาง แต่ก็เป็นการเปิดประสบการณ์ชีวิตที่แปลกใหม่ ไม่มีอะไรจะคุ้มค่าไปมากกว่านี้อีกแล้ว สำหรับใครที่กำลังมองหาสายการบินราคาประหยัดเดินทางไปญี่ปุ่น แต่ก็อยากได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางด้วย “Hong Kong Airlines” อาจตอบโจทย์ของคุณได้ และเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจนะครับ
สอบถามครับ ขากลับจากนาริตะมาฮ่องกง สามารถ เข้าไปใหนเมืองฮ่องกง และ ค้าง หนึ่ง คืน ได้ด้วยใหมครับ
LikeLike
ค้างได้นะครับ เหมือนเรามาท่องเที่ยวปกติเลย ไม่มีปัญหาครับ
LikeLike
พอดีว่าจะไปญี่ปุ่น แล้วต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกงเหมือนกัน อยากรู้ว่าต้องใช้เอกสารอะไรไหมครับ เห็นตอนจองในเว็บมันเขียนว่า อาจต้องใช้ transit visa ไม่เคยแวะเปลี่ยนเครื่องเลยครับ แล้วต้องกรอกเอกสารอะไหมครับ หรือลงจากเครื่องก็ไปตามทางtransitเลย
LikeLike
ไม่ต้องใช้เอกสารอะไรนะครับ คนไทยได้รับการยกเว้น Visa สำหรับท่องเที่ยวในฮ่องกง กรณีไปไม่เกิน 30 วันครับ
LikeLike
แล้วต้องกรอกใบอะไรไหมครับ หรือพอลงจากเครื่องก็เดินไปตามทางเพื่อเปลี่ยนเครื่องได้เลย
LikeLike
กรณีจะเข้าเมืองต้องกรอกใบตม.เข้าเมือง กรณีที่เปลี่ยนเครื่องไม่ต้องกรอกอะไรครับ ยื่น Boarding Pass เดินเข้าช่อง Transit ได้เลย
LikeLike
ขอสอบถามค่ะ ถ้าเราต้องการแวะที่ฮ่องกง เราต้องแจ้งสายการบินอย่างไรคะ
LikeLike
ไม่ต้องแจ้งครับ ตอนเราเช็กอินเราจะได้ Boarding pass มา 2 ใบ คือ กรุงเทพ-ฮ่องกง กับ ฮ่องกง-โตเกียว ครับ
LikeLike
สอบถามค่ะตอนนี้ที่ฮ่องกงมีม๊อบประท้วงส่งปลต่อการเปลี่ยนเครื่องมั้ยคะ
LikeLike
จะเดินทางไปเกาหลี Transit ที่ฮ่องกง จะต้องขอ Transit Visa มั้ยค้ะ
LikeLike
ไม่ต้องขอครับ บิน Transit ได้เลย
LikeLike